<h2>แนวทางการเขียนโค้ดฝั่ง Backend ด้วย NestJS ให้ Maintain ง่าย</h2>
<p>การเขียนโค้ดฝั่ง backend ให้สามารถบำรุงรักษาได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อโค้ดนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การแยกส่วน (separation of concerns) จึงเป็นแนวทางที่ดีในการทำให้โค้ดดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น ในบทความนี้ ผมจะแนะนำแนวทางพื้นฐานในการจัดการโค้ดฝั่ง backend ด้วย <strong>NestJS</strong> โดยใช้การแยก layer ออกเป็น <strong>Controller</strong>, <strong>Service</strong>, และ <strong>Repository</strong> ซึ่งจะช่วยทำให้โค้ดของเรามีความเป็นระเบียบและยืดหยุ่นต่อการแก้ไขในอนาคต</p>
<h3>1. Controller: จัดการ Request-Response</h3>
<p>ใน <strong>NestJS</strong> เราจะใช้ <strong>Controller</strong> ในการจัดการกับ HTTP request และ response ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้มากที่สุด ดังนั้นภารกิจหลักของ Controller คือการรับ request, ดึงข้อมูลจาก query, body, params หรือ headers จากนั้นจึงส่ง response กลับไปยัง client</p>
<p>ในส่วนนี้เราควรแยกการจัดการกับ <strong>status code</strong> เช่น การส่ง response แบบ error หรือ success ให้อยู่ใน Controller โดยไม่ไปปะปนกับ logic อื่น ๆ</p>
<pre><code class="language-typescript">// user.controller.ts
import { Controller, Get, Param, Query, Res } from '@nestjs/common';
import { UserService } from './user.service';

@Controller('user')
export class UserController {
  constructor(private readonly userService: UserService) {}

  @Get(':id')
  async getUserById(@Param('id') id: string, @Res() res) {
    try {
      const user = await this.userService.getUserById(id);
      return res.status(200).json(user);
    } catch (error) {
      return res.status(404).json({ message: 'User not found' });
    }
  }
}
</code></pre>
<p>แนวทางสำคัญ: การ extract ข้อมูล เช่น params, query หรือ body ควรทำในชั้น Controller นี้เท่านั้น อย่าผสมกับ logic ในชั้นอื่น เพื่อให้แต่ละ layer มีหน้าที่ชัดเจน</p>
<h3>2. Service: การประมวลผลและการติดต่อกับ Third Party</h3>
<p>ในส่วนของ Service คือชั้นที่ใช้จัดการกับ business logic ของแอปพลิเคชัน หรือการทำงานเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่าการรับ-ส่งข้อมูล การใช้ Service จะทำให้ Controller ไม่ต้องจัดการกับงานที่ซับซ้อนเกินไป ซึ่งทำให้โค้ดในแต่ละชั้นชัดเจนขึ้น</p>
<p>Service อาจเรียกใช้ข้อมูลจาก Repository หรือทำงานร่วมกับ third party APIs ได้ การใช้ Service จะช่วยแยก logic ออกจาก Controller ทำให้ Controller ไม่ยุ่งเหยิงจนเกินไป</p>
<pre><code class="language-typescript">// user.service.ts
import { Injectable } from '@nestjs/common';
import { UserRepository } from './user.repository';

@Injectable()
export class UserService {
    constructor(private readonly userRepository: UserRepository) {}

    async getUserById(id: string) {
        return this.userRepository.findById(id);
    }
}
</code></pre>
<p>แนวทางสำคัญ: ควรแยกฟังก์ชันการประมวลผลบางอย่าง (เช่น การ transform ข้อมูล) โดยเขียนให้เป็น pure function ไปไว้ที่ utility functions เพื่อให้สามารถเขียนเทสได้ง่าย และทำให้ Service มีความชัดเจนมากขึ้น</p>
<h3>3. Repository: การดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูล</h3>
<pre><code class="language-typescript">// user.repository.ts
import { Injectable } from '@nestjs.common';

@Injectable()
export class UserRepository {
  private users = [{ id: '1', name: 'John' }, { id: '2', name: 'Jane' }];

  async findById(id: string) {
    return this.users.find(user => user.id === id);
  }
}
</code></pre>
<p>แนวทางสำคัญ: Repository ทำหน้าที่ติดต่อกับฐานข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรมี business logic หรือการประมวลผลข้อมูลซับซ้อนเกินไป</p>
<hr>
<p>การแยก Controller, Service, และ Repository ออกจากกันใน NestJS ช่วยทำให้โค้ดมีความชัดเจน มีความยืดหยุ่นในการดูแลและปรับปรุง รวมทั้งทำให้การเขียนเทสง่ายขึ้น การจัดโครงสร้างโค้ดแบบนี้ยังช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยครับ</p>



## แนวทางการเขียนโค้ดฝั่ง Backend ด้วย NestJS ให้ Maintain ง่าย

การเขียนโค้ดฝั่ง backend ให้สามารถบำรุงรักษาได้ง่ายและมีความยืดหยุ่นเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะเมื่อโค้ดนั้นเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การแยกส่วน (separation of concerns) จึงเป็นแนวทางที่ดีในการทำให้โค้ดดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น ในบทความนี้ ผมจะแนะนำแนวทางพื้นฐานในการจัดการโค้ดฝั่ง backend ด้วย **NestJS** โดยใช้การแยก layer ออกเป็น **Controller**, **Service**, และ **Repository** ซึ่งจะช่วยทำให้โค้ดของเรามีความเป็นระเบียบและยืดหยุ่นต่อการแก้ไขในอนาคต

### 1. Controller: จัดการ Request-Response

ใน **NestJS** เราจะใช้ **Controller** ในการจัดการกับ HTTP request และ response ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่ใกล้ชิดกับผู้ใช้มากที่สุด ดังนั้นภารกิจหลักของ Controller คือการรับ request, ดึงข้อมูลจาก query, body, params หรือ headers จากนั้นจึงส่ง response กลับไปยัง client

ในส่วนนี้เราควรแยกการจัดการกับ **status code** เช่น การส่ง response แบบ error หรือ success ให้อยู่ใน Controller โดยไม่ไปปะปนกับ logic อื่น ๆ

```typescript
// user.controller.ts
import { Controller, Get, Param, Query, Res } from '@nestjs/common';
import { UserService } from './user.service';

@Controller('user')
export class UserController {
  constructor(private readonly userService: UserService) {}

  @Get(':id')
  async getUserById(@Param('id') id: string, @Res() res) {
    try {
      const user = await this.userService.getUserById(id);
      return res.status(200).json(user);
    } catch (error) {
      return res.status(404).json({ message: 'User not found' });
    }
  }
}
```

แนวทางสำคัญ: การ extract ข้อมูล เช่น params, query หรือ body ควรทำในชั้น Controller นี้เท่านั้น อย่าผสมกับ logic ในชั้นอื่น เพื่อให้แต่ละ layer มีหน้าที่ชัดเจน

### 2. Service: การประมวลผลและการติดต่อกับ Third Party

ในส่วนของ Service คือชั้นที่ใช้จัดการกับ business logic ของแอปพลิเคชัน หรือการทำงานเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่าการรับ-ส่งข้อมูล การใช้ Service จะทำให้ Controller ไม่ต้องจัดการกับงานที่ซับซ้อนเกินไป ซึ่งทำให้โค้ดในแต่ละชั้นชัดเจนขึ้น

Service อาจเรียกใช้ข้อมูลจาก Repository หรือทำงานร่วมกับ third party APIs ได้ การใช้ Service จะช่วยแยก logic ออกจาก Controller ทำให้ Controller ไม่ยุ่งเหยิงจนเกินไป

```typescript
// user.service.ts
import { Injectable } from '@nestjs/common';
import { UserRepository } from './user.repository';

@Injectable()
export class UserService {
    constructor(private readonly userRepository: UserRepository) {}

    async getUserById(id: string) {
        return this.userRepository.findById(id);
    }
}
```

แนวทางสำคัญ: ควรแยกฟังก์ชันการประมวลผลบางอย่าง (เช่น การ transform ข้อมูล) โดยเขียนให้เป็น pure function ไปไว้ที่ utility functions เพื่อให้สามารถเขียนเทสได้ง่าย และทำให้ Service มีความชัดเจนมากขึ้น

### 3. Repository: การดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูล

```typescript
// user.repository.ts
import { Injectable } from '@nestjs.common';

@Injectable()
export class UserRepository {
  private users = [{ id: '1', name: 'John' }, { id: '2', name: 'Jane' }];

  async findById(id: string) {
    return this.users.find(user => user.id === id);
  }
}
```

แนวทางสำคัญ: Repository ทำหน้าที่ติดต่อกับฐานข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรมี business logic หรือการประมวลผลข้อมูลซับซ้อนเกินไป

---

การแยก Controller, Service, และ Repository ออกจากกันใน NestJS ช่วยทำให้โค้ดมีความชัดเจน มีความยืดหยุ่นในการดูแลและปรับปรุง รวมทั้งทำให้การเขียนเทสง่ายขึ้น การจัดโครงสร้างโค้ดแบบนี้ยังช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยครับ


แนวทางการจัดการโค้ดฝั่ง backend ใน NestJS เพื่อให้ดูแลรักษาง่าย โดยการแยก layer ออกเป็น Controller, Service, และ Repository